top of page
Search

ฮักเด้...วังเวียง

  • โดด งาน เที่ยว
  • Jun 16, 2020
  • 3 min read

Updated: Jun 23, 2020


เมื่อพูดถึงวังเวียง ทุกคนน่าจะรู้จัก หรือบางคนอาจจะได้ไปสัมผัสบรรยากาศ ณ ที่แห่งนี่แล้วก็ตาม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอามาเล่าให้ฟังในรูปแบบตัวหนังสือกัน สำหรับใครที่ยังไม่รู้ (ก็คงไม่มีใครรู้หรอก ฮ่าาๆๆๆ) พวกเรามีวิดีโอสำหรับทริปนี้ด้วยนะ


ติดตามพวกเราที่นี่เลย...


ขายของเสร็จแล้วกลับมาเรื่องของเราต่อ ฮ่าาๆๆ สำหรับการเดินทางไปวังเวียง ก็มีหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะนั่ง รถบัส รถเบ๊นท์ รถเก๋ง รถไถ จักรยาน มอเตอร์ไซ์ หรือเครื่องบินก็ได้หมดครับ แต่พวกเราเลือกรถทัวร์ จากหมอชิต - หนองคาย เป็นชั้นธรรมดา ราคา 536 บาท ออกเดินทางกันตอนประมาณ 20.40 น. ถึงหนองคายประมาณ 09.00 น. เราแนะนำให้ซื้อชั้น First Class ราคา 714 บาท นั่งสบายกว่าเยอะครับ


เมื่อถึงสถานีขนส่งจังหวัดหนองคายแล้ว ไม่ต้องกลัวหลงครับ จะมีคนเข้ามาถามเราว่า"น้องไปไหน" อยู่ตลอดทาง พวกเราก็ได้ลุงคนนึงครับ ราคาคนล่ะ 50 บาท ไม่รู้ว่าถูกหรือแพง ฮ่าาๆๆๆ แต่ก็นะ ช่วยๆลุงเค้า ทำธุระส่วนตัวเสร็จ พวกเราก็โดดขึ้นรถสกายแล็บลุงทันที ใช้เวลาไม่นาน 5-10 นาที แล้วก็มาถึงด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทยลาว ที่นี้เรานัดเจอเพื่อนอีกคนนึง คือ "สุข" ที่จริงๆแล้ว ต้องมานั่งเมื่อยตูดบนรถทัวร์กับพวกเราเมื่อคืน แต่มีเหตุจำเป็น เลยทำให้ต้องมาเครื่องบิน มาลงที่อุดรธานี แล้วต่อรถมาที่หน้าด่าน เพื่อเจอกับพวกเรา เมื่อครบองค์ประชุมแล้ว ก็ต่อไป ไปข้ามด่านกัน!!!



มาถึงกรอกใบ ตม.ให้เสร็จเรียบร้อย แต่ถ้าใครไม่อยากกรอกหรือขี้เกียจ ที่นี่เขามีบริการกรอกใบ ตม. ให้ด้วยนะเทอออ แหม สะดวกสะบายดีจัง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะคนล่ะประมาณ 20 บาท เสร็จแล้วเดินมาขึ้นรถบัสข้ามสะพานมิตรภาพไทยลาว หรือใครอยากเดินก็สามารถทำได้นะครับ แต่ร้อนชิบหาย เมื่อข้ามถึงฝั่งลาวแล้ว ซื้อซิมการ์ด แลกเงินให้เรียบร้อย พวกเรา 3 คน แลกกัน เฉลี่ยคนล่ะ 1 ล้านกีบ หรือประมาณคนล่ะ 3,500 บาท ต่อไปเราต้องไปตลาดเช้ากันต่อ มีลุงคนนึง เข้ามาถามเราว่าไปกับลุงไหม ตอนแรกเราก็ทำท่าจะไม่เอา แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อความตื๊อของลุง ตกลงราคากับลุงแล้วอยู่ที่ 15,000 กีบ หรือประมาณ 50 บาท ต่อคน



เดินตามลุงมา ลุงบอกให้รอตรงนี้ เดี๋ยวลุงไปเอารถก่อน หายไปสักพัก ก็มากับรถตู้ที่ไม่มีผู้โดยสารเลย อ้าว นี่มีแต่พวกเราหรือนี่!!! ดีจัง บรรยากาศบนรถตู้ ก็สนุกสนานเฮฮา ราวกับได้รู้จักลุงเป็นอย่างดี "สุข" ของเรา ก็ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ อาบ อบ นวด กับคุณลุง (ดังในคลิป) ถือว่าเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีอันแน่นแฟงระหว่างประเทศได้ดีเลยทีเดียวเชียว


และเมื่อมาถึงตลาดเช้า...ไหนว่ะตลาด!!! เดินงงๆ อยู่ได้ไม่นาน ก็มีชายหนุ่มเดินเข้ามาถาม "ไปไหนครับพี่" เราทำท่าไม่สนใจ เพราะในใจคิดว่าแถวนี้น่าจะแพงแน่เลย พยายามเดินหนีก็แล้ว ทำท่าไม่สนใจก็แล้ว แต่ก็ต้องยอมใจคนที่นี่เลยจริงๆครับ เรื่องความตื๊อของคนที่นี่ เพราะว่าถ้าคุณใจไม่แข็งพอ เหมือนพวกเรา ก็อาจจะหลุดปากออกไปว่า "จะไปวังเวียง" เท่านั้นแหละครับ โทรหาวินรถตู้ทันที แล้วก็บอกเราว่ามีรถตู้ไปวังเวียงอยู่พอดี แต่อีก 1 ชั่วโมงจะออก ถึงประมาณบ่าย 3 กว่าๆ สนใจจะไหม? ถ้าไปเดี๋ยวผมพาไปที่วินส่งฟรีเลย "โหหห มาขนาดนี้กูต้องไปแล้วสินะ" ค่ารถตู้คนล่ะ 100,000 กีบ ประมาณ 345 บาท ว่าแล้วโดดขึ้นรถสกายแล็บพี่เขาพาไปส่งที่วินรถตู้ เมื่อมาถึง ชำระเงินกีบเรียบร้อย ก็เอากระเป๋าสัมภาระไปวางบนเบาะนั่ง เป็นการจองที่นั่งไว้ และอีก 1 ชั่วโมง รถจะออก เลยมีโอกาสได้เดินเล่นบริเวณใกล้ๆ แถวนั้น ในวันนั้นอากาศร้อนไม่ต่างจากที่บ้านเลย แต่ที่ดีก็คือ รถน้อย ไม่วุ่นวาย มีร้านอาหาร พับ บาร์ ลานเบียร์ที่มีร้านติดๆกัน เป็นสิบๆร้าน กลางคืนที่นี่คงสนุกครึกครื้นกันน่าดู



ตอนนี้เวลา 12.00 น. ผู้โดยสารเริ่มเดินมากันที่จุดนัดพบกัน ก็คือรถตู้ ส่วนสภาพถนนของที่นี่ไม่ต้องห่วงครับ ลาดยางสลับกับลูกลัง และหลุมเยอะแยะมากมาย คุณลุงคนขับ ดูจากประสบการณ์แล้ว น่าจะโชกโชน หลับตาขับได้ แต่สงสัยลุงคงหลับตานานเกินไป เพราะลุงเล่นไม่หลบหลุมเลย รายได้ที่ได้จากการขับรถน่าจะหมดไปกับการซ่อมรถเนี้ยแหละ แต่ตอนนี้ตับ ไต ไส้ พุง กูรวมกันเป็นก้อนเดียวกันแล้ว คร้าบบ!!!



3 ชั่วโมงกว่าๆ และแล้วเราก็มาถึงจนได้ วังเวียง พวกเราต้องขึ้นรถสองแถว เพื่อไปที่พักที่เราจองไว้แต่เมื่อคุยกับคนขับสองแถว เค้าบอกว่า ไปส่งถึงที่ ไม่ได้หรอก ต้องนั่งเรือข้ามไป เดี๋ยวไปส่งใกล้ๆให้ล่ะกัน พวกเราก็งงๆ ว่าจะต้องนั่งเรือทำไม เพราะที่เราดูข้อมูลมา มันมีสะพานให้เดินข้ามนี่น่า แต่ก็..ไปก่อนแล้วกัน เมื่อมาถึง พี่เขาบอกให้เดินลงไปทางนั้นแล้วจะเจอแม่น้ำ ให้ข้ามเรือไปยังที่พัก แต่ในใจ เรายังคิดว่ามันมีสะพานจริงๆนะ เมื่อเดินลงมาถึง ก็พบว่าไม่มีสะพานจริงๆ ชิบหายล่ะทีนี่ เพราะที่คิดไว้ว่าอยากเช่าที่พักที่นี่ ก็เพราะราคา คืนล่ะ 200 กว่าบาทเอง แล้วไม่ไกลจากจุดศูนย์ยามค่ำคืน เช่น ซากุระบาร์ ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น เพียงแค่เดินข้ามสะพานก็ถึงเลย แต่ตอนนี้สะพานไม่มีแล้ว ลองเดินเข้าไปถามลุงคนหนึ่ง คนที่ยืนอยู่ไม่ไกล "ลุงครับ ผมจะข้ามไปฝั่งโน่นต้องทำไงครับ" ลุงถามกลับ "เช่าที่พักชื่ออะไรล่ะ" "Otherside Bungalow ครับ" "เห้ยยยยยย!!! ออเด้อซายๆๆ มารับลูกค้าหน่อยยย" ลุงตะโกน เสียงดังไปถึงฝั่งตรงข้าม ตอบกลับมาโอเคคคค!!! สุดยอดดดไปเลยครับลุง สอบถามลุงว่ามันมีสะพานอยู่จริงๆ รึป่าว ลุงบอกว่ามี แต่ตอนนี้ลื้อออกไปก่อน เพราะว่า อีก 2 วัน จะเป็นวันเข้าพรรษา ที่นี้จะมีงานประจำปี มีแข่งเรือยาวคล้ายๆกับบ้านเรา และสาเหตุที่ลื้อสะพานก็เพราะว่าเขาต้องนำพระพุทธรูปร่องเรือตามน้ำมา ถ้าลอดใต้สะพานมันไม่ดี ช่วงนี้ก็อาศัยเรือข้ามไปมาๆก่อน หลังจากนี้จะสร้างสะพานขึ้นใหม่ นับถือใจคนที่นี่จริงๆครับ



และเมื่อเรือรับเรามายังอีกฝั่งแล้ว ก็ถึงเวลาเช็คอินกันเสียที พนักงานพาพวกเราไปดูห้อง เป็นบ้านคล้ายๆทรงไทยหลังเล็กๆ นอนได้ 2 คน เราจองไว้ 2 ห้อง เป็นห้องพัดลม แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เดินไปบอกพี่พนักงานว่าขอเปลี่ยนเป็นห้องแอร์ได้ไหม เพิ่มเงินก็ยอม เพราะอากาศร้อนมาก ซึ่งพี่เค้าก็ใจดีมากกๆๆ

ให้เปลี่ยนห้อง แถมไม่คิดค่าห้องเพิ่มด้วย ตกคืนล่ะ 200 กว่าบาท ซึ่งถือว่าคุ้มมาก กับวิวภูเขาแบบนี้ ในความโชดร้ายเรื่องสะพาน ก็ยังมีวิวสวยๆแบบนี้ปลอบใจเราได้บ้าง



เมื่อทำธุระและนั่งพักกันให้หายเหนื่อยแล้ว ท้องไส้ก็เริ่มหิว เราไปหาอะไรกินกันดูดีกว่า เดินออกมาหน้าที่พักของเราเอง มีร้านอาหารริมน้ำของบังกาโลของเรา บรรยายกาศดีมาก กินข้าวไป เอาขาแช่น้ำไป ช่างดีเหลือเกิน สรุปนั่งร้านนี้ก็แล้วกัน อาหารที่นี่รสชาติอร่อย แล้วที่สำคัญ Big size มากครับ ให้มากเยอะ ราคาไม่แพงเลยครับ ร้านนี้แนะนำต้องมานั่งทานข้าวสักมื้อให้ได้เลยครับ ถามพี่พนักงานจนได้คำตอบว่า เรือจะแล่นรับผู้โดยสารไปเรื่อยๆ จนถึง 5 ทุ่ม และคนที่พักที่บังกาโลเขานั้น นั่งฟรี!!! ดีจริงเชียววว



เมื่ออิ่มหนำสำราญกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลายามค่ำคืนของวังเวียง ที่นี่เต็มไปด้วย ผับ บาร์ ร้านอาหารตามข้างทาง ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ฝรั่ง เกาหลี และพี่จีน ค่อนข้างเยอะ ส่วนคนไทยก็เยอะไม่ต่างกัน เดินมาสักพักก็ตกตะลึง ถึงกับอึ้ง สตั้นไป 9 วิ มีฝรั่งหุ่นกล้ามปู 4-5 คน ใส่ชุดนอน ไม่ได้นอน ของผู้หญิง เต้นเรียกแขกอยู่หน้าร้าน นี่มันบาร์เกย์ชัดๆ เราได้แต่ภาวนาว่า มึงไม่ต้องเดินมาหากูนะ กูกลัว พวกเรารีบเดินผ่านตรงนั้นให้เร็วที่สุด แล้วก็ได้มาเจอกับ ซากุระบาร์ ไม่รอช้าเข้าไปเลยยย



ซากุระบาร์ ถือว่าเป็นไฮไลท์ของวังเวียงและของเราในค่ำคืนนี้ ร้านนี้มีฟรีดริ๊งค์ จนถึง 2 ทุ่ม เป็นเหล้าครึ่งแก้ว แล้วแต่จะผสมอะไรก็บอกพนักงานได้ครับ ใครอยากเมาฟรี ลูกหมาป่า เชิญทางนี้เลยครับ ช่วงหัวค่ำคนยังน้อยๆอยู่บ้าง แต่พอหลัง 3 ทุ่ม เป็นต้นไป เหล่า people ทั้งไทย ฝรั่ง เกาหลี และพี่จีน ต่างหลั่งไหลเข้ามาจนอย่างเนืองแน่น และทางร้านก็มีเวที ที่ใครก็สามารถขึ้นไปโชว์สเต็บแดนซ์ได้เลย ยิ่งดึก บนเวทียิ่งแน่นเลยครับ ส่วนพวกเรานั้นขอนั่งจิบบรรยากาศ อยุ่ตรงนี้ดีกว่า



ในขณะที่กำลังเพลิดเพลินดื่มด่ำกับบรรยากาศอยู่นั้น หันไปมองนาฬิกา จะ 5 ทุ่มแล้ว ถึงเวลาที่ต้องกลับที่พักเสียแล้ว ไม่งั้นมีหวังได้นอนข้างถนนแน่ๆ ออกจากร้านเดินมาที่ริมน้ำ เพื่อมาโบกเรือกลับที่พักแต่จะมีใครรอรับพวกเราอยู่ไหมเน้อออ พยายามใช้ไฟแฟลชจากโทรศัพท์ ส่องเป็นสัญญาณว่า เราอยู่ตรงนี้นะ แต่ก็ไม่เห็นมีใครเลย แย่แล้วสิๆ สงสัยได้ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำสองแน่ๆ แต่แล้วสักพัก ก็มีพี่พนักงานผู้ชายเขาเห็นพวกเรา เขาเลยขับมารับเรา ขอบคุณมากๆเลยครับพี่


เมื่อถึงที่พักก็พบว่า ไม่มีแขกห้องอื่นเลยนอกจากพวกเรา บรรยากาศรู้สึกวังเวงยังไงไม่รู้ แต่เมื่อหัวถึงหมอน ก็หลับเป็นตายเลย ฮ่าาๆๆ



เช้าวันต่อมา ตื่นมาอย่างงัวเงียๆ วางแผนสำหรับวันนี้ว่าจะออกไปเที่ยวไหนกันดี ซึ่งที่เที่ยวมีเยอะแยะมากมายเลยครับ มีทั้งสะพานส้ม บลูลากูน1-3 ผาเงิน หรือแม้กระทั่งล่องห่วงยางไปบนแม่น้ำสอง จะเที่ยวกันเอง หรือเหมาเป็น One Day Trip ก็ได้ตามสะดวกครับ แต่ตอนนี้เราควรไปหาข้าวกิน และหาเช่ารถมอเตอร์ไซต์ เสียก่อน


สำหรับอาหารที่ไม่ควรพลาดเมื่อถึงวังเวียงก็คือ "เฝ๋อ" ครับ เป็นเส้นคล้ายขนมจีน ราดด้วยน้ำซุป คล้ายก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา ที่นี่เขาไม่ใส่น้ำส้มสายชูกัน ก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เรื่องรสชาติและปริมาณ ถือว่าผ่านเอาไป 8 กระโหลกเลยครับ และเมื่อท้องอิ่มกันเรียบร้อย ต่อไปก็หามอเตอร์ไซต์เช่ากัน



ร้านมอเตอร์ไซต์ ที่นี่มีอยู่มากมาย สามารถเดินเลือกเอาได้เลย ส่วนเอกสารที่ต้องใช้ก็แค่ Passport 1 เล่ม ต่อกลุ่มครับ ปรึกษาเส้นทางกับพี่เจ้าของร้านเรียบร้อย ตกลงกันว่าจะไป บลูลากูน 1 กันก่อน เส้นทางเป็นทางลูกลังซะส่วนใหญ่ เรื่องฝุ่นนี่ไม่ต้องพูดถึง หัวแดงกันเลยทีเดียว แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ พวกเราเจอกรุ๊ปทัวร์เกาหลีขับรถบักกี้มาเป็นหมู่คณะ ประมาณเกือบ 20 คัน ขับกันเป็นขบวนคาราวาน แล้วไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วแต่อย่างใด จากที่เห็นวิวภูเขาสวยๆ ตอนนี้กลายเป็นพายุฝุ่นหนา มองไม่เห็นทางข้างหน้า ทำเอาเราต้องจอดรถ เพื่อให้ฝุ่นมันจางลงก่อน เมื่อถึงบลูลากูน 1 เราต้องเสียค่าเข้าคนล่ะ 10,000 กีบ และจะต้องเสียเงินแบบนี้ ทุกๆสถานที่ ที่เราจะเข้าไป แม้แต่การข้ามสะพานหรือผ่านทาง จะต้องเสียค่าธรรมเนียมให้เขา เป็นเรื่องปกติ บลูลากูน 1 บรรยากาศเงียบสงบ และไม่ค่อยมีอะไรที่น่าสนใจ คนน้อย มีสระน้ำไว้ให้เล่นน้ำได้ พวกเราเลยกลับออกมา และมุ่งหน้าไปบลูลากูน 3 ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ ระหว่างทางก็เจอคณะรถบักกี้อีกตามเคย ฝุ่นเต็มหัวเหมือนเดิม กูจะเป็นภูมิแพ้อยู่แล้ววว



บลูลากูน 3 เสียค่าธรรมเนียมทางเข้าเรียบร้อย แต่ยัง ยังไม่หมด ถ้าจะเข้าไปเล่นน้ำ ก็ต้องเสียอีกต่อ แต่พวกเราดูแล้ว ขอนั่งอยู่ข้างนอกดีกว่า เพราะว่าคนเยอะแยะไปหมด ทั้งฝรั่ง และเกาหลี ต่างก็มาปีนป่ายต้นไม้และโหนเชือกกระโดดลงน้ำกันอย่างสนุกสนาน จริงๆ พวกเราก็อยากได้ภาพตอนกระโดดลงน้ำเหมือนกันนะ แต่คนเยอะเกินไป พวกเราเลยขอบายดีกว่า


นั่งคุยกันอยู่สักพัก ด้วยอากาศที่ร้อนจัดมากๆ ทำให้พวกเรารู้สึกว่าไม่อยากไปไหนกันต่อ สุดท้ายก็ได้สรุปกันว่า กลับไปนอนกันต่อที่ห้องพักกันดีกว่า เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์จากเมื่อคืนยังไม่จางหาย ต่างคนต่างสะโหลสะเหล กลับไปนอนเอาแรงสักหน่อยน่าจะดีกว่า



ตื่นขึ้นมา เหลือบตาไปดูนาฬิกา ตอนนี้ 4 โมงเย็น!!! โอเค ไม่ต้องไปไหนกันแล้ว ฮ่าาาๆๆ ก็เลยตกลงกันว่า เย็นนี้เรานั่งกินข้าวจิบบรรยากาศที่ร้านเดิม ริมน้ำหน้าที่พักกันก็พอ แต่เราต้องเอามอเตอร์ไซส์กลับไปคืนก่อน เลยสอบถามเรื่องรถที่จะกลับไปเวียงจันทร์ และได้ทำการซื้อตั๋วไว้เรียบร้อย ตอนแรกจะนั่งรถตู้กลับ แต่พี่เจ้าของร้านแนะนำให้ขึ้นรถบัสดีกว่า นั่งสบายกว่า ไม่รอช้า ซื้อตั๋วทันที!!!



ในช่วงยามเย็นแบบนี้ มองเห็นดวงจันทร์ที่กำลังจะเต็มดวง ในวันพรุ่งนี้ มีการซ้อมพายเรือยาว ที่เตรียมพร้อมจะทำการแข่งขันกันในวันพรุ่งนี้ มีการเตรียมงานเวทีคอนเสิร์ต เราเห็นป้ายไวนิลที่มีรูปคาราบาว จะมาเปิดการแสดงที่นี่ด้วย สงสัยงานใหญ่น่าดูเลย มีทั้งปาโป่ง ยิงปืน ไม่ต่างกับงานวัดบ้านเราเลย แต่น่าเสียดายที่พรุ่งนี้พวกเราจะต้องกลับแล้ว คืนนี้เรารีบนอนเอาแรงกันหน่อยดีกว่า


เช้าวันสุดท้าย พวกเราเก็บข้าวของกันเรียบร้อย ก็พร้อมเตรียมตัวกลับบ้าน เดินออกมา เช็คเอ้าท์ ได้เห็นบรรยากาศริมน้ำกำลังคึกคักๆ เรือยาวก็กำลังซ้อมพายกันอย่างขมักเขม้น แต่พวกเราต้องไปกันแล้ว ข้ามเรือกลับมา เดินไปยังร้านที่เช่ามอเตอร์ไซต์เมื่อวาน เพื่อไปรอรถ นั่งรอสักพักก็มีรถมารับเรา ไปส่งเราที่ท่ารถบัส แต่เมื่อมาถึงไม่มีรถบัสเลยสักคัน ถามที่อู่เขาบอกว่า วันนี้มีแค่รถตู้ รถบัส เสียหมดเลย

ห๊ะ!!! เป็นไปได้หรอที่จะเสียหมดเลย แต่ก็ได้แต่คิดอยู่ในใจ อะ รถตู้ก็รถตู้ แล้วเมื่อวานเมื่อจะแนะนำเราทำไมว่ะ ฮ่าาๆๆๆ ตอนขามาพวกเรานั่งหลังสุด รู้สึกทรมานตูดมาก ขากลับขอนั่งหน้าๆ ตรงประตูดีกว่า เผื่อจะได้นั่งสบายมากขึ้น มันก็จริงๆ นั่งสบายมาก เมื่อรถตู้ออก ฝนก็ตกหนัก ทางเส้นที่คดเคี้ยว จากที่ไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว กลับไม่ปลอดภัยขึ้นไปอีกเท่าตัว พวกเราเผลอหลับกันไป รู้สึกตัวอีกที ฝนก็หยุดแล้ว และรถตู้ก็จอด รับคนข้างทาง ห๊ะ!!! ที่มันเต็มแล้ว จะรับทำไมอีกเนี่ย!!! เป็นเด็กสาว 2 คน อายุราว 15-16 เป็นเพื่อนกัน คนนึงนั่งข้างคนขับ ส่วนอีกคนมานั่งข้างๆ พวกเรา ตอนแรกพวกเราก็ไม่ได้คิดอะไร ก็แบ่งๆกันนั่ง แต่พอรถออกได้ ไม่ถึง 1 นาที น้องผู้หญิงข้างๆ เรา เริ่มแสดงกิริยามารยาท ที่ทำให้พวกเราและทั้งคันรถ ถึงกับถอนหายใจ เมื่อน้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ROV และเปิดเสียงที่ดังมากๆ พร้อมกับพากษ์เสียงราวกับทีมพากษ์พันธมิตรมาเอง และน้องก็มีน้ำใจชวนเพื่อนที่นั่งข้างหน้าให้เล่นด้วย บันเทิงเลยครับทีนี้ พวกเราก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กัน เปิดดูแผนที่ในโทรศัพท์ โห...อีกไกลเลยกว่าจะถึง ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ น้องเล่นจบเกมส์ เราก็แอบภาวนาว่าอย่าเล่นต่อเลย ขอร้องเถอะน้อง แล้วน้องก็เงียบไปสักพัก ตาเราก็เริ่มจะปิดเพราะความง่วง ทันใดนั้นก็มีเสียงเพลงดังลั่นขึ้นมาจากโทรศัพท์น้อง "อยู่คนเดียว...ก็คุ้นเคย... อยู่สบายจนเคย เลยไม่คิดมีใคร" เพลงนี้นี่มัน.... "เป็นต่อ" นี่นา โอเค!!! ถ้าเปิดดังขนาดนี้ กูไม่ต้องนอนแม่งแล้ววว!!! แหมมม แล้วเปิดตอนเก่ามาก ไม่อัปเดทเลยน้อง ฮ่าาๆๆ (เราก็ติดเป็นต่อเหมือนกัน) สุดท้ายกันได้แต่ทนๆกันไป



เมื่อถึงจุดหมายพวกเราโครตดีใจ ที่หลุดออกมาจากรถตู้คันนั้นได้ จุดหมายต่อไป พวกเราจะเดินไปที่ประตูชัย หรือ ประตูไซ ที่เวียงจันทร์ สักหน่อย เพราะอยู่ไม่ไกลมากจากที่เราลงรถ อากาศร้อนจัดเหมือนเคย และรถยนต์ก็บางตาเป็นอย่างมาก เวียงจันทร์เป็นเมืองหลวง แต่ผิดกับเมืองหลวงของเราหรือกรุงเทพอย่างสิ้นเชิง ที่นี่เงียบสงบมากๆ ไม่มีมอเตอร์ไซต์หรือรถยนตร์แต่งซิ่งให้เห็นเลย ดีจริงๆ ถ้าบ้านเราเป็นแบบนี้มันคงจะดีไม่น้อยเลย



เมื่อถึงประตูชัย หรือ ประตูไซ แล้วนั่งพักและถ่ายรูปกันให้เต็มที่ จากนั้นพวกเราเดินกลับไปที่ตลาดเช้า เพื่อหารถไปที่ด่านพรมแดน ลองถามรถสกายแล็บข้างทางดูว่าไปด่านเท่าไร เขาบอกมาว่า 800 บาท หันหลังกลับแทบไม่ทัน เลยเดินต่อมาเรื่อยๆ เห็นมีรถประจำทางด้วย เออใช่!!! ที่เราหาข้อมูลมา มันมีรถประจำทางไปด่านด้วยนี่หว่าา ไม่รอช้ามุ่งตรงไปที่ท่ารถทันที สอบถามพนักงาน เขาบอกว่าคันนี้เลยไปจอดหน้าด่านเลย 8,000 กีบ หรือประมาณเกือบๆ 30 บาท ต่อคน ช้าหน่อยแต่ก็ดีกว่าเสีย 800 บาท



มาถึงหน้าด่าน แลกเงินคืนกลับมา จากเงินหลักล้าน ตอนนี้หลืออยู่หลักร้อยกว่าบาทไทย ฮ่าาๆๆ ดูจนไปเลย ทำเรื่องยื่นใบ ตม. เสร็จเรียบร้อย ก็มาขึ้นรถบัสข้ามสะพานมิตรภาพ ไทยลาวกันต่อ จะได้กลับประเทศไทยแล้วว



เมื่อกลับมาถึงฝั่งประเทศไทยแล้ว พวกเราเจอคุณลุงกลุ่มนึง กำลังดักรอคนที่ข้ามกลับมา "ไปไหนกันหนุ่มๆ" ลุงถามพวกเรา "ไปสถานีขนส่งหนองคายครับ" พวกเราตอบกลับไป ลูงอาสาไปส่ง คิดคนล่ะ 50 บาท แต่คราวนี้ไม่ใช่สกายแล็บ แต่เป็นรถกระบะของลุงเองเลย แอร์เย็บเฉียบ ลุงบอกว่า ส่งพวกเราจะเข้าบ้านแล้ว ระหว่างทางก็ได้พูดคุยกับลุงไปเรื่อยเปื่อย จนมาถึงสถานีขนส่งจังหวัดหนองคายที่เดิม แต่ครั้งนี้ พวกเราจะไม่ทนนั่งให้เมื่อยตูดอีกต่อไป จัดชั้น First Class ที่ดีที่สุด ของบขส. และรอเวลากลับกรุงเทพกัน รถออก 20.00 น.



ขอบคุณนะครับที่อ่านกันมาถึงตรงนี้ มันอาจจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์บ้างก็ตาม ก็ต้องกราบขอบคุณและขอประทานอภัยมา ณ ที่นี่ด้วยนะครับ แต่สำหรับพวกเรา การได้เดินทางครั้งนี้ถือว่าเป็นประสบณ์การณ์ที่ดีของพวกเรา แม้จะต้องเจอปัญหาอะไรมากมาย แต่พวกเราก็ผ่านมันมาได้ไม่ยาก การเดินทางไปวังเวียงไม่ยากอย่างที่คิด อุปสรรคอย่างเดียวที่ต้องเจอคือความเมื่อยตูด จริงๆ แล้ว ก็มีเส้นทางที่น่าจะสบายกว่านี้อยู่อีก แต่พวกเราเลือกเส้นทางนี้ ก็เพราะว่าอยากสัมผัสบรรยากาศ และวิถีชีวิต ตลอดสองข้างทาง มีอะไรๆ ให้เราได้ตื่นตา ตื่นใจ และความหวาดเสียวอยู่ตลอด แต่สิ่งที่พวกเราพลาดไป คือ ยังไม่ได้ไปในจุดที่ควรต้องไป อีกหลายๆจุด วังเวียงเป็นเมืองเล็กๆ ที่น่ารัก ผู้คนก็น่ารัก อัธยาศัยดี เป็นกันเองอย่างมาก และที่สำคัญเลย สามารถใช้ภาษาไทยได้เลยครับ คนประเทศลาวน่ารักแทบจะทุกคนครับ เว้นแต่น้องที่เจอบนรถตู้ก็เท่านั้น ฮ่าาๆๆ สุดท้ายนี้ ถ้าชอบผลงานพวกเรา ฝากติดตาม กดไลท์ กดแชร์ แฟนเพจของเราได้เลยครับ แล้วพวกเรา "โดด งาน เที่ยว" จะมีเรื่องเล่า จากการท่องเที่ยว แบบนี้มาให้ดู(คลิป) ได้อ่านกัน แบบนี้กันอีกเรื่อยๆครับ ขอบคุณมากนะครับ


ติดตามพวกเราได้ที่


 
 
 

Comments


©2020 by โดด งาน เที่ยว. Proudly created with Wix.com

bottom of page